วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

มหัศจรรย์แห่งชีวิต… หลักคิด 20 ข้อ จากท่าน ว.วชิรเมธี




๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน ?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี ?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี ?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน ?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา ?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี ?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร ?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี ?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย ?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม ?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน ?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี ?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้ คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี ?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก ?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม ?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบ

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

ความสุขอยู่ที่ใด






ฉันไม่มีความสุข...



ฉันไม่ชอบงานที่ฉันทำเพราะมันน่าเบื่อและไม่มีที่สิ้นสุด



ฉันไม่ชอบเจ้านาย เพราะเขาไม่เคยคิดหรือทำอะไรเองนอกจากชี้นิ้วสั่งกับดุด่าฉันเท่านั้น


ฉันไม่ชอบเช้าวันจันทร์ เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ตื่นขึ้นมาเผชิญโลกที่โหดร้าย แต่ละสัปดาห์ของการทำงานดูราวกับการคืบคลานไปท่ามกลางสนามรบ


ฉันไม่ชอบเช้าวันอังคาร เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งทำงานไปได้วันเดียวยังมีอีกหลายวันที่โหดร้ายรออยู่


ฉันไม่ชอบเช้าวันพุธ เพราะเป็นวันที่ฉันเริ่มตื่นขึ้นมาพร้อมกับความล้าและพบว่าเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น


ฉันไม่ชอบเช้าวันพฤหัสบดี เพราะเป็นวันที่ฉันเหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดหลายวัน
แต่ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินต่อไป พรุ่งนี้ก็ยังต้องทำงาน


ฉันไม่ชอบเช้าวันศุกร์เพราะฉันเหนื่อยจนแทบลุกจากเตียงไม่ไหวแล้วแต่ก็ยังต้องลุกไปทำงาน


ฉันไม่ชอบเช้าวันเสาร์ เพราะฉันอยากตื่นสายๆแต่กลับมีเด็กบ้านใกล้ๆวิ่งเล่นเสียงดังจนต้องตื่นแต่เช้า


ฉันไม่ชอบเช้าวันอาทิตย์ เพราะฉันจะถูกปลุกแต่เช้าเช่นกันด้วยเสียงเครื่องดูดฝุ่นกับเสียงตัดต้นไม้และเครื่องตัดหญ้าชองเพื่อนบ้าน

ฉันไม่ชอบวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะมันทำให้ร้านรวงในกรุงเทพฯปิด จะซื้อหาอะไรก็ยาก
จะออกไปต่างจังหวัดคนก็มาก ฉันเคยเห็นรถติดบนยอดเขาห่างไกลในวันสิ้นปีมาแล้ว


ฉันไม่ชอบรถติด เพราะมันทำให้ฉันถึงที่ทำงานช้า


ฉันไม่ชอบรถเมล์ เพราะฉันต้องยืนเบียดกับคนแปลกหน้าและร้อนอบอ้าว


ฉันไม่ชอบบ้านเช่าที่ฉันอยู่ เพราะมันคับแคบแออัด เปิดหน้าต่างออกไปเห็นแต่ตึกบังท้องฟ้า


ฉันไม่ชอบบ้านเดิมที่ต่างจังหวัด เพราะมันห่างไกลมากและมีแต่ความกันดาร


ฉันไม่ชอบนิยายน้ำเน่า เพราะมันไม่เคยให้แง่คิดหรือช่วยพัฒนาจิตใจของเราให้ดีขึ้นเลย


ฉันไม่ชอบหน้าร้อน เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกอบอ้าวและหงุดหงิดทั้งวัน


ฉันไม่ชอบหน้าฝน เพราะมันทำให้ฉันเปียกแฉะ เดินทางลำบาก ตากผ้าก็ไม่แห้ง


ฉันไม่ชอบหน้าหนาวเพราะมันทำให้ฉันเป็นหวัดและไม่มีชีวิตชีวา


ฉันไม่ชอบมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนจบมาเพราะมันไม่ค่อยมีชื่อเสียง ทำให้ฉันหางานทำลำบาก


ฉันไม่ชอบคนรักของฉัน เพราะเขาเป็นคนขวานผ่าซากไม่โรแมนติก ไม่เอาอกเอาใจฉันเลย


ฉันไม่ชอบกรุงเทพ เพราะที่นี่มีแต่ความเบียดเสียดทุกอย่างเร่งรีบและดิ้นรนผู้คนเห็นแก่ตัว



ฉันไม่มีความสุข......ความสุขอยู่ที่ไหนกัน......



.......................................................................................................................



วันหนึ่งฉันยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ แม่ลูกคู่หนึ่งนั่งรอรถอยู่ใกล้ๆ ผ่านไปสักพักอยู่ๆลูกชายวัยซนของหญิงคนนั้นก็ชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าและบอกกับแม่

“แม่หมาอยู่บนฟ้า”

“ไหนลูก” แม่ขมวดคิ้วแล้วโน้มตัวมองตามลูก

“อ๋อ...น่ะเหรอลูก ดูเป็นหมายังไงนะ”

“นี่ไงแม่ ตรงที่ยื่นๆออกมานี่เป็นหัวหมา นี่หูมันมีขาหน้าด้วย”

“แล้วขาหลังล่ะลูกไม่เห็นมีเลย”

“มันกระโดดออกจากปุยนุ่น ขาหลังมันเลยจมในปุยนุ่น” ด็กชายว่า

ฉันหันไปมองเมฆก้อนนั้นตามด้วนความอยากรู้อยากเห็นแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมันเป็นแค่ก้อนเมฆสีขาวไร้รูปทรงธรรมดารูปหนึ่งเท่านั้นเอง ม่ได้มีความเหมือนกับหมาตรงไหนเลย นยักไหล่แล้วหันไปชะเง้อมองรถเมล์บนถนนตามเดิมเสียเวลาฟังเจ้าเด็กฟุ้งซ่านจริงๆ

“เหรอ...แต่แม่ว่ามันดูเหมือนกับยีราฟนะลูก เห็นมั้ยคอมันยาวเป็นยีราฟเลย หูชี้ด้วย”

“ไม่ใช่นะแม่ ยังเป็นหมาอยู่หมาคอยาวๆโอ๊ยๆๆทำไมขามันหายไปแล้วล่ะ”

“ข้างบนลมคงพัดแรงน่ะลูกเมฆมันเป็นแค่ไอน้ำที่ลอยในอากาศและจับตัวกันเป็นก้อนพอลมพัดมันก็เปลี่ยนรูปร่างเหมือนกันตอนที่ลูกเป่าควันในชามก๋วยเตี๋ยวร้อนๆไงจ๊ะ”

ฉันเงยหน้ามองก้อนเมฆไอน้ำสีขาวบนทั้งฟ้าอีกครั้งฉันมองอย่างไรก็เห็นเป็นเพียงแต่เมฆธรรมดาๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้นในขณะที่แม่ลูกคู่นั้นเห็นเป็นสัตว์ต่างๆมากมายทำไมของสิ่งเดียวกันแต่คนสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันกลับมองไม่เหมือนกันหรือว่ามาลูกคู่นี้เห็นในสิ่งที่ฉันไม่เห็น...

บนรถเมล์ที่ฉันโหนไปทำงาน เด็กนักเรียนสองคนใกล้ๆกำลังพูดถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

“ทำไมแกรีบอ่านหนังสือคร่ำเคร่งนักกว่าจะสอบก็ปีหน้าไม่ใช่เหรอ”

“ต้องรีบอ่านสิ อีกแค่ปีเดียวพวกเราต้องสอบแล้วนะนี่อ่านแทบไม่ได้นอนมาหลายเดือนแล้ว”

“เหรอ...”

“แล้วแกล่ะ ทำไมจนป่านนี้ยังไม่อ่านหนังสือสักที”

“ไม่ต้องรีบหรอก อีกตั้งปีกว่าจะถึงวันสอบ”



ฉันมองตามหลังเด็กทั้งสองขณะที่พวกเขาเดินลงจากรถหน้าโรงเรียนนับว่าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนสองคนที่มองสิ่งเดียวกันต่างออกไปคนหนึ่งมองอย่างเป็นทุกข์ อีกคนมองอย่างไม่ทุกข์หรือว่าทุกสิ่งรอบตัวสามารถมองได้สองแบบจริงๆแบบเดียวกับที่ฉันมองสองด้านของเหรียญหรือมองแก้วน้ำที่มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้วแล้วที่ฉันไม่มีความสุขอยู่ทุกวันนี้เกิดจากการมองของฉันใช่หรือไม่...

เย็นวันนั้นฉันกลับบ้านมานั่งพักที่ระเบียงแมวดำตัวหนึ่งกำลังพยายามจะมาคุ้ยหาขยะในถุงดำที่มัดกองไว้หน้าบ้านแต่แรกฉันทำท่าจะถอดรองเท้าขว้างใส่แบบที่เคยทำมาแต่พอคิดไปอีกทางว่าการเกิดเป็นแมวจรจัดไร้เจ้าของและที่ซุกหัวนอนนั้นก็แย่พออยู่แล้วยังต้องมาคุ้ยขยะหาอาหารประทังชีวิตให้รอดแล้วยังถูกคนขับไล่อีกไปที่ไหนก็มีแต่คนไม่ต้อนรับเอ็นดู

ฉันลองเปลี่ยนความคิดดู หันหลังเดินเข้าครัวหยิบไส้กรอกอีสานและแฮมในตู้เย็นออกมาอุ่นเล็กน้อยจากนั้นก็เปิดประตูบ้านออกไป แมวดำยังอยู่ที่กองขยะหน้าบ้านแสงจากเสาไฟฟ้าที่ส่องสลัวลงมาถึงตัวของมันทำให้มองดูเหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลกฉันส่งเสียงเลียนแบบแมวดังเมี้ยวๆ จนมันหันมามอง

“กินซะนะ อยู่ด้วยกันมานานฉันเพิ่งจะมาใจดีวันนี้แหละ”

แมวตัวนั้นค่อยๆเดินมาอย่างกล้าๆกลัวๆจนมาหยุดใกล้ๆฉันจึงวางไส้กรอกอีสานกับหมูแฮมลงบนพื้นแมวจรจัดส่งเสียงร้องเหมียวๆขณะก้มลงดมอาหารมื้อพิเศษนั้นในที่สุดมันก็กินอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียวฉันยืนกอดอกมองภาพแมวที่กำลังกินอาหารที่ฉันหามาให้อย่างมีความสุขเพิ่งได้รู้กับตัวเองว่าการไล่แมวกับการให้อาหารแมวนั้นมันให้ความสุขทางใจที่แตกต่างกันมากกขนาดนี้เองต่อจากนี้ไปฉันจะมีความสุข...


.........................................................................................................



ฉันชอบงานที่ฉันทำ เพราะมันให้โอกาสฉันได้แสดงฝีมือทำงานเพื่อส่วนรวมและมีรายได้มาเลี้ยงตัวเอง งานทั้งหลายนั้นดูช่างท้าทายฉันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


ฉันชอบเจ้านาย เพราะเขาให้โอกาสฉันคิดและตัดสินใจลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเองโดยพยายามตัดเตือนแนะนำเมื่อฉันทำงานผิดพลาด


ฉันชอบเช้าวันจันทร์ เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกเหมือนทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งสัปดาห์นี้จะต้องดีกว่าสัปดาห์ที่แล้ว


ฉันชอบเช้าวันอังคาร เพราะเป็นวันที่ฉันเพิ่งทำงานไปได้วันเดียวยังมีอีกหลายวันที่สนุกสนานรออยู่ เพื่อนที่ทำงานยังรอฉันอยู่


ฉันชอบเช้าวันพุธ เพราะเป็นวันที่ฉันเริ่มตื่นขึ้นมาพร้อมความล้าเล็กน้อยและพบว่าเวลาผ่านไปครึ่งทางแล้ว ฉันจะรีบทำงานในเวลาที่เหลือให้ดีที่สุด อีกไม่นานฉันจะได้พักผ่อนวันหยุดแล้ว


ฉันชอบเช้าวันพฤหัสบดี เพราะเป็นวันที่ฉันเห็นความคืบหน้าของงานในสัปดาห์นี้มากมายหากฉันไม่จัดการงานพวกนี้ บริษัทและทุกคนในบริษัทคงลำบากมากฉันรู้ว่าฉันมีส่วนร่วมในการผลักดันบริษัทของฉัน


ฉันชอบเช้าวันศุกร์ เพราะฉันจะให้กำลังใจตัวเองว่านี่คือวันทำงานวันสุดท้ายแล้วฉันจะจัดการทุกสิ่งไม่ให้คั่งค้างเพื่อให้พรุ่งนี้และมะรืนนี้เป็นวันหยุดที่แสนสบาย


ฉันชอบเช้าวันเสาร์ เพราะฉันจะตื่นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของเด็กบ้านใกล้ๆที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ฟังดูสดชื่นมีชีวิตชีวา จากนั้นฉันจะเริ่มทำความสะอาดบ้านและมองดูบ้านที่สะอาดขึ้นทีละน้อยอย่างภูมิใจ


ฉันชอบเช้าวันอาทิตย์ เพราะฉันจะตื่อนแต่เช้าเช่นกันเพื่อเตรียมหุงหาอาหารใส่บาตรพระที่ผ่านมาหน้าหมู่บ้าน จากนั้นฉันจะไปซื้อของและกลับมาพักผ่อนที่บ้าน
รอคอยสัปดาห์ใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น

ฉันชอบวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะมันทำให้ฉันมีเวลาส่วนตัวให้ตัวเองและครอบครัวมากขึ้น


ฉันชอบรถติด เพราะมันทำให้ฉันเพลิดเพลินกับการฟังเพลงวิทยุช่องโปรดและเหม่อมองสิ่งต่างๆรอบตัวนานขึ้น


ฉันชอบรถเมล์ เพราะฉันมองเห็นคนมากมายที่กำลังร่วมทางกันอยู่บนรถคันเดียวกัน
แต่ละวันที่ได้พบกับผู้คนบนรถเมล์ฉันมักจะได้แง่คิดดีๆ จากการเงี่ยหูฟังพวกเขาคุยกันอยู่เสมอ


ฉันชอบบ้านเช่าที่ฉันอยู่ เพราะมันดูกะทัดรัดดูแลทำความสะอาดได้ง่าย มีเพื่อนบ้านมากมายคอยช่วยเป็นหูเป็นตาให้


ฉันชอบบ้านเดิมที่ต่างจังหวัด เพราะมันห่างไกลจากความวุ่นวายในเมืองหลวง และฉันมักจะกลับไปพักผ่อนเติมพลังอยู่เสมอเมื่อเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตในเมือง


ฉันชอบนิยายน้ำเน่า เพราะมันทำให้ฉันผ่อนคลายและได้ล่องลอยไปในโลกความฝันบ้างหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว


ฉันชอบหน้าร้อน เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกถึงชีวิตชีวารอบข้าง เสียงแมลงต่างพากันร้อง
นกต่างพากันบินออกหากิน ดอกไม้เบ่งบาน


ฉันชอบหน้าฝน เพราะมันช่างดูอบอุ่นชุ่มเย็น การเฝ้ามองต้นไม้เขียวขจีต้องลมฝนจากใต้ชายคาบ้านฉันเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ


ฉันชอบหน้าหนาว เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกเย็นสบาย ได้หยิบเสื้อหนาวสวยๆในตู้ออกมาใส่จะเดินออกไปไหนมาไหนก็กระชุ่มกระชวย นอนหลับก็สบายไม่ต้องเปิดพัดลม



ฉันชอบมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนจบมา เพราะมันไม่ค่อยมีชื่อเสียง หากฉันทำงานของฉันจนประสบความสำเร็จฉันจะกลายเป็นบุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยของฉันจะเป็นที่ยอมรับของทุกคน


ฉันชอบคนรักของฉัน เพราะเขาเป็นคนจริงใจพูดตรงไปตรงมา ไม่มีมารยา และทำให้ฉันเรียนรู้ที่จะเอาอกเอาใจเธอ


ฉันชอบกรุงเทพ เพราะที่นี่มีผู้คนมากมาย และมีบทเรียนใหม่ๆ ที่จะคอยสอนใจฉันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น เหมือนกับที่มันเคยสอนฉันให้มองโลกอย่างมีความสุขมาแล้ว



ฉันมีความสุข... ความสุขอยู่ในทุกหนแห่งและอยู่ที่ตัวฉันเอง...อยู่ที่ฉันจะตั้งใจมองหามันในทุกสิ่งรอบข้างเองหรือไม่ เท่านั้น...

ที่มา: http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=298994&chapter=44

แด่ทุกท่านที่กำลังทำงานหนัก เพื่ออะไรบางอย่างในชีวิต


แด่ ทุกท่านที่กำลังทำงานหนัก เพื่ออะไรบางอย่างในชีวิต: ข้อคิดและข้อปฎิบัติสำหรับผู้ต้องการเพิ่มEQ ของตัวเอง :

หัดคิดแต่ด้านบวก ***แล้วจะรู้ว่ามีแต่สิ่งที่เป็นไปได้***

หัดฝัน ***แล้วจะรู้ว่าโลกนี้น่าอยู่***

หัดพูดแต่ด้านบวก ***แล้วจะรู้ว่ามีคนอีกมากมายที่รักเรา***

หัดยิ้ม ***แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่น่ารัก***

หัดฟาดฟันกับอุปสรรค ***แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่เข้มแข็ง***

ลองทน ***แล้วจะรู้ว่าเรามีความอดทนยิ่งกว่าใคร***

ลองออกกำลังกายทุกวัน ***แล้วจะรู้ว่าเราคือมนุษย์เจ้าพลังคนหนึ่ง***

ลองคิดเอาชนะ ***แล้วจะรู้ว่าเราสามารถเอาชนะ ตัวเองได้ไม่ยาก***

ลองคิดให้ให­่ ***แล้วจะรู้ว่าเรามีความสามารถอย่างน่าแปลกใจ***

นักพูดที่เป็นที่รู้จักกันดีท่านหนึ่งได้เริ่มหยุดการสัมนาของเขาโดยการหยิบแบงค์ 1,000 ขึ้นมา

ในห้องที่มีผู้เข้าร่วม 200 ท่าน แล้วเขาก็พูดว่า

"ใครอยากได้แบงค์ 1,000 นี้บ้าง?" มือได้ถูกยกขึ้นเป็นจำนวนมาก และเขาก็พูดต่อว่า

"ฉันจะให้เงินแบงค์1,000 นี้แก่หนึ่งในพวกท่านแต่ครั้งแรกนี้ฉันจะทำอย่างนี้"

เขาเริ่มที่จะขยำๆเงินนั้นแล้วเขาก็ถามอีกว่า "ใครจะยังต้องการมันอีก"

ยังคงมีมือที่ยกขึ้นอีก
"ดี" เขาตอบ

" แล้วถ้าฉันทำอย่างนี้ล่ะ"

และเขาก็ทิ้งมันลงที่พื้นและเริ่มที่เหยียบย่ำมันด้วยรองเท้าของเขา แล้วเขาก็เก็บขึ้นมา ขณะนี้มันทั้งยับยู่ยี่และสกปรก

"ตอนนี้ใครยังต้องการมันอีก" ก็ยังคงมีคนยกมืออีก

"เพื่อนๆคุณได้เรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่ามากที่สุดบทหนึ่งแล้วว่าไม่ว่าฉันจะทำอะไรกับเงิน คุณก็ยังต้องการมันอยู่

เพราะว่ามันไม่ได้ลดคุณค่าในตัวมันลงเลย มันก็ยังคงมีค่า1,000 บาทอยู่นั่นเอง

เหมือนกับหลายๆครั้งในชีวิตของเรา ที่ถูกทิ้ง ถูกเหยียบย่ำ และถูกทำให้สกปรก โดยสิ่งที่เราตัดสินใจทำมันและสภาพแวด

ล้อมที่เราเจอ

ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าของเราลดน้อยลง แต่ไม่ว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้นหรืออะไรที่จะเกิดขึ้น

คุณไม่เคยสู­เสียคุณค่าของคุณ คุณเป็นคนพิเศษ -- อย่าลืมมันตลอดไป!

"อย่านำความผิดหวังของเมื่อวานมาบดบังความฝันในวันพรุ่งนี้"


ที่มา:http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=298994&chapter=1

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กฎของเมล็ดพันธุ์ (The Apple Tree )





กฎของเมล็ดพันธุ์ (The Apple Tree )

Take a good look at an apple tree.
มองดูต้นแอ๊บเปิ้ลต้นหนึ่งให้ดี

There might be five hundred apples on the tree, each with ten seeds. That’s a lot of seeds!
มันอาจจะมีผลแอ๊บเปิ้ลอยู่ 500 ผล แต่ละผล มีเมล็ดพันธุ์อยู่ 10 เมล็ด มันจึงเมล็ดพันธุ์จำนวนมากมาย

We might ask, “Why would you need so many seeds to grow just a few more trees?”
เราอาจจะถามว่า “ทำไมคุณถึงต้องใช้เมล็ดพันธุ์มากมายเพื่อที่จะปลูกต้นแอ๊บเปิ้ลเพียงไม่กี่ต้น

Nature has something to teach us here. It’s telling us: “Most seeds never grow.
ธรรมชาติมักจะบอกอะไรเราบางอย่าง.. มันกำลังบอกเราว่า “มีเมล็ดพันธุ์จำนวนมาก ไม่ได้เจริญงอกงาม”

So if you really want to make something happen, you had better try more than once.”
ฉะนั้น ถ้าคุณปรารถนาจะให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น คุณน่าจะลองทำสิ่งนั้นมากกว่าแค่ 1 ครั้ง

This might mean: นี่อาจจะหมายถึง
You’ll attend twenty interviews to get one job.
คุณอาจจะต้องสอบสัมภาษณ์ถึง 20 ครั้งเพื่อจะให้ได้งานสักงานหนึ่ง

You’ll interview forty people to find one good employee.
คุณอาจจะต้องสัมภาษณ์คน 40 คนเพื่อที่จะได้ลูกจ้างดี ๆ สักคน

You’ll talk to fifty people to sell one house, car, vacuum cleanner, insurance policy, idea......
คุณอาจจะต้องพูดกับคน 50 คนเพื่อจะได้ขายบ้านหนึ่งหลัง, รถยนต์, เครื่องดูดฝุ่น, กรมธรรม์ประกัน หรือไอเดีย

And you might meet a hundred acquaintances to find one special friend.
และคุณอาจจะได้พบปะคนเป็นร้อยเป็นร้อยเพื่อที่จะเจอเพื่อนดี ๆ สักคน

When we understand the “Law of the Seed”, we don’t! get so disappointed.
เมื่อเราเข้าใจ "กฎของเมล็ดพันธุ์" เราก็จะไม่ต้องมาคอยผิดหวัง

We stop feeling like victims. Laws of nature are not things to take personally. We just need to understand them - and work with them.
เราจะไม่รู้สึกว่าเราเป็นเหยื่อ กฎของธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาใช้ได้เองตรงๆ เราเพียงแค่ต้อง เข้าใจและลองค่อย ๆ ปฏิบัติดู

IN A NUTSHELL สั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือ
Successful people fail more often. They plant more seeds.
ผู้คนที่ประสบความสำเร็จก็ล้มเหลวได้บ่อย แต่พวกเค้าก็ใช้เมล็ดพันธุ์มากกว่า (ถึงจะประสบความสำเร็จ)

When Things Are Beyond Your Control here’s a recipe for permanent misery….......
เวลาอะไร ๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด… สูตรสำเร็จของคนที่ไร้ซึ่งความสุขก็คือ
a) Decide how you think the world SHOULD be.
1) ตัดสินว่า โลกมันควรจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
b) Make rules for how everyone SHOULD behave.
2) ตั้งกฎเกณฑ์ว่าผู้คนควรจะทำตัวยังไง

Then, when the world doesn’t obey your rules, get angry! That’s what miserable people do!
และ.. เมื่ออะไร ๆ ไม่เป็นไปตามกฎของคุณ… ก็โกรธซะ !! นั่นแหละ คือสิ่งที่คนไร้ความสุขเค้าทำกัน

Let’s say you expect that: เอาเป็นว่า ถ้าคุณคาดหวังว่า
Friends SHOULD return favours. เพื่อน ควรจะตอบแทนอะไรคุณบ้าง
People SHOULD appreciate you. ผู้คนควรจะชื่นชมคุณ
Planes SHOULD arrive on time. เครื่องบิน น่าจะลงตรงเวลา
Everyone SHOULD be honest. ทุก ๆ คนควรจะซื่อสัตย์
Your husband SHOULD remember your birthday. สามี (แฟน) ควรจะจำวันเกิดคุณได้

These expectations may sound reasonable.
ความคิดพวกนี้ ฟังดูเหมือนมีเหตุผล

But often, these things won’t happen! So you end up frustrated and disappointed.
แต่บ่อยครั้ง สิ่งพวกนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น และ มันก็จบลงที่.. คุณรู้สึกรำคาญใจและผิดหวัง

There’s a better strategy. Have less demands. Instead, have preferences!
มันมีหลักเกณฑ์ที่ดีกว่านี้ ลดความต้องการให้น้อยลง แล้วเปลี่ยนเป็นความชอบแทน

For things that are beyond your control, tell yourself:
สำหรับสิ่งต่าง ๆ ที่เกินคาด ก็บอกตัวเองว่า

”I WOULD PREFER AN “A”, BUT IF “B” HAPPENS, IT’S OK TOO!”
เราอยากจะให้เป็น เอ มากกว่า แต่ถ้าเป็น บี … ก็โอเค ได้เหมือนกัน

This is really a game that you play in your head. It is a shift in attitude, and it gives you more peace of mind ...
มันเป็นแค่เกมของความคิดในหัว คือเปลี่ยนอุดมการณ์ มันจะทำให้จิตใจคุณสุขสงบขึ้น

You prefer that people are polite ... but when they are rude,
it doesn’t ruin your day. You prefer sunshine ... but rain is ok!
คุณอยากให้ผู้คนสุภาพ แต่ถ้าเค้าเกิดหยาบคายขึ้นมา.. มันก็ไม่ได้บ่อนทำลายวันของคุณ
คุณอาจจะอยากให้ท้องฟ้าสดใส แต่ถ้าฝนเกิดตก.. ก็โอเค

To become happier, we either need to ถ้าอยากจะมีความสุขมากขึ้น เราก็เลือกที่
a) change the world, or เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ หรือ
b) change our thinking. It is easier to change our thinking! เปลี่ยนแปลงความ คิดเราเอง

เปลี่ยนความคิดของเราเอง ง่ายกว่านะ

IN A NUTSHELL สั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือ

It’s not what happens to you that determines your happiness.
สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ ไม่ใช่สิ่งที่จะกำหนดความสุขของคุณ

It’s how you think about what happens to you.
แต่มันเป็นความคิดของคุณเองต่างหาก ความคิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ



ที่มา : Chitkhanty Loy *O*
เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เพชร


เพชรมีค่ามากกว่าถ่านหลายล้านเท่า
ทั้งๆที่เพชรเป็นธาตุคาร์บอนเหมือนกัน
ไม้ผ่านการอบการเผา ไม่นานก็กลายเป็นถ่าน
แต่เพชรผ่านความร้อน ไม่ต่ำกว่า 5,000 องศาฟาเรนไฮต์
ได้รับความกดดันมากกว่า 1 ล้านปอนด์ต่อตารางนิ้ว
ด้วยระยะเวลาอันยาวนาน จนกระทั่งกลายเป็นเพชร
เพชรที่เป็นเครื่องประดับอันงดงาม
พร้อมๆกับเป็นของที่มีความแข็งมากที่สุดในโลก
ถ้าท่านกำลังได้รับความกดดันอยู่ จงอดทน จงอดทน
ถ้าท่านกำลังถูกเคี่ยวถูกสับอยู่ ให้คิดว่าเพียงแค่นี้
จะทำให้เป้าหมายเราสั่นคลอนได้หรือ ?
ถ้าสถานการณ์กำลังบีบคั้นท่าน แสดงว่าชัยชนะกำลังรออยู่ข้างหน้า
ถ้ายังถูกโหมกระหน่ำอีกให้รู้ตัวว่า
ท่านกำลังใกล้จะเป็นเพชรเต็มที่แล้ว….
ในสถานการณ์เช่นนี้…..หากหยุดคิดพิจารณาอย่างมีสติ
ย่อมจะเกิดปัญญาพบหนทางสว่างได้เสมอ
จงมุ่งมั่นอาจหาญสง่างาม เสมือนดั่งเพชร
แม้เพชรจะตกอยู่ในสภาวะทุกข์ยากลำบาก อ้างว้างและโดดเดี่ยว
แต่เพราะเพชรไม่เคยย่อท้อต่อสู้เรื่อยไป
ให้ถือว่าทุกอย่างเป็นบทเรียนและบทฝึกตัวเองเสมอ จนกาลเวลาผ่านไป
เพชรจึงภูมิใจในตัวของมันเอง และด้วยความอดทนถึงที่สุดนั่นเอง
เพชรจึงเป็นอัญมณีล้ำค่า ควรแก่การประดับมงกุฎของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่
จากอดีต… ปัจจุบัน….ตลอดไปในอนาคต

ที่มา:http://happyhappiness.monkiezgrove.com/category/%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b9%86/

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

25 วิธีมีความสุขกับสิ่งรอบตัว


ชีวิตเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง มีขึ้นมีลง หากอยากมีความสุข คุณต้องรู้จักซึมซับความรู้สึกอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้าหรือความโกรธที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมทั้งยอมรับในสิ่งที่คุณมี และสถานภาพที่คุณเป็น เพื่อจะได้มีความสุขกับชีวิตมากที่สุดที่จะทำได้ ถ้าคุณไม่รู้จักความทุกข์ แล้วคุณจะรู้จักความสุขได้อย่างไร คนเราไม่อาจมีความสุขได้ตลอดเวลา เราต้องไขว่คว้า แสวงหาและชื่นชมจึงจะได้มาซึ่งความสุข มีคนเคยกล่าวว่า “ความสุขหาได้ ความทุกข์ไม่ต้องหา...มาเอง” ดังนั้นเรามาลองดูวิธีการสร้างสุขกันดีกว่า

25 วิธีมีความสุขกับสิ่งรอบตัว เก็บมาฝากค่ะ เพราะอยากให้ทุกคนมีความสุข


1. คิดใหม่ใช้ชีวิตราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย คนที่ป่วยหนักใกล้ตาย จะไม่ปล่อยเวลาให้สายเกินไปอีกแล้ว จะท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง หรือติดต่อพบปะเพื่อนฝูง เราทุก คนก็ควรตระหนักว่าอาจไม่มี “พรุ่งนี้ ” ก็ได้



2. จดบันทึก เขียนเล่าเรื่องถึงสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณทุกวัน การจดบันทึกช่วย แก้ปัญหาและขจัดเรื่องไม่ดีที่ รกสมองออกไปได้ด้วย

3. มองในแง่มุมอื่นบ้าง ลองคิดว่าคุณอยากให้คนอื่นจดจำคุณในด้านใดหรือหากวันหนึ่งต้องเล่า เรื่องชีวิตตนเองให้หลาน ๆ ฟังคุณจะเล่าอะไร แล้วคุณพลาดการนัดกับเพื่อน เพื่อไปดูหนัง ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อมองย้อนกลับไป

4. อย่าให้เรื่องเล็กน้อยกวนใจ ไม่คุ้มหรอกที่จะหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากคนขับรถข้าง ๆ ไม่ยอมให้คุณเบียดเข้าเลน ก็ยิ้มและโบกมือให้เขาไปเลย

5. ทำงานยากให้เสร็จ ลงมือได้แล้ว อย่าผัดวันประกันพรุ่ง โอ้เอ้ไปก็มีแต่ทำให้ หนักใจเหนื่อยกาย ไหน ๆ งานนี้ก็ต้องทำโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ก็น่าจะทำให้เสร็จ ๆ ไปเลย

6. เลิกทำตัวจำเจ ชีวิตคงน่าเบื่อหากทำอะไรซ้ำซากทุกวันทุกสัปดาห์ เราน่าจะมีเรื่องแปลก ใหม่มาทำให้หัวใจกระชุ่มกระช่วยบ้าง เปลี่ยนแปลงตัวเองด้านการแต่งกาย ทรงผม ทานอาหารรสชาดใหม่ ๆ

7. อย่าเปรียบตัวเองกับคนอื่น ใครจะมีสระว่ายน้ำ บ้านหลังใหญ่ๆ รถหรูคันใหม่ไม่ต้องสนใจ หากดูให้ดี ๆ คุณอาจพบว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องทำงานสัปดาห์ละเจ็ดวัน ไม่มีเวลาเจอคนในบ้านหรือเพื่อนฝูงหรืออาจต้องผ่อนหนี้สินไปอีกหลายสิบปี


8. กำจัดข้าวของรกบ้าน เสื้อผ้า ของเล่น หนังสือเก่า ที่ไม่ใช้แล้ว ยกไปบริจาคเถิดได้บุญกุศล


9. รู้จักเอ่ยคำว่า “ ไม่ ” ไม่ต้องลงมือทำเองทุกเรื่องเพราะชีวิตคุณก็วุ่นวายพออยู่แล้ว

10. รดน้ำต้นรัก รักคู่ครองของคุณอย่างที่เขาเป็นที่คุณคิดว่าเขาเปลี่ยนไปนั้นเป็นความจริงหรื อท ุกอย่างเมื่อใช้งานไปได้ระยะหนึ่งก็ต้องบำรุงรักษาเป็นของธรรมดา ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาก็เช่นกัน ต้องมีการดูแลใจใส่กันบ้าง

11. อย่าให้ความคุ้นเคยกลายเป็นไม่ไว้หน้า หากคุณให้เกียรติเพื่อน หรือผู้อื่น คู่ครอง และคนในครอบครัว คุณก็ควรได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน

12. มอบความรักให้คู่ครอง ครอบครัว และเพื่อน ๆ อย่าเขินที่จะบอกคนเหล่านี้ว่า คุณ “ รัก ”พวกเขาตรงไหน เมื่อ เขาทำอะไรดี ๆ ก็กล่าวคำชื่นชมบ้าง คำชมเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เคยทำร้ายใคร

13. อย่ารับปรับทุกข์ทุกเรื่อง หากปัญหาของเพื่อนเริ่มมีผลกระทบต่อตัวคุณก็ไม่ต้องฝืนทำตัวเป็นเสาหลักให้เขา พิ งอยู่เรื่อยไป ให้เพื่อนหัดแก้ปัญหาและก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง

14. ติดต่อเพื่อนเก่า ยังไม่สายเกินไปที่จะโทรศัพท์ ส่งอีเมล์ หรือเขียนจดหมายถึงเขา ส่ง SMS

15. บำรุงอารมณ์ด้วยสีเขียว ตัดดอกไม้สดจากสวน หรือตื่นแต่เช้าไปตลาดซื้อดอกไม้ที่สดใสนำมาใส่แจกัน

16. ไปทะเลกันดีกว่า ทิวทัศน์กว้างไกล สายลม เกลียวคลื่น สองเท้าเปลือยเปล่าย่ำบนผืนทราย และแสงแดดลูบไล้แผ่นหลัง ไม่มีอะไรทำให้จิตใจเริงรื่นชื่นบานได้ดีกว่านี้อีกแล้ว

17. สร้างสรรค์ผลงาน จะเป็นภาพเขียน เย็บปักถักร้อย อบขนม จัดสวน หรืออะไรก็ได้

18. สูดอากาศบริสุทธิ์ ออกไปข้างนอกหรือเปิดหน้าต่างกว้าง ๆ สูดหายใจให้เต็มปอด คุณจะรู้สึกว่าอากาศเสียถูกขับออกจากตัว

19. ออกไปเดินเล่น การออกกำลังกายเบา ๆ จะช่วยเติมชีวิตชีวาให้คุณทั้งร่างกายและจิตใจ

20. ดูหนังตลกและหัวเราะให้สบายใจ

21. ย้ายเครื่องเรือนและของแต่งบ้าน หรืออาจทาสีห้องและผนังใหม่ด้วย

22. รอคอยสิ่งดี ๆ เช่น วันหยุดพักร้อน ออกท่องราตรีกับเพื่อนฝูง ไปดูหนัง ฟังเพลง หาร้านอาหารอร่อย ๆ ที่ไม่เคยไป รอโทรศัพท์จากคนรู้ใจ

23. ชวนเพื่อน/ คนรู้จัก หรือใครก็ได้ มากินมื้อค่ำ จัดห้องโต๊ะอาหารที่บ้านให้แปลกไปจากเดิม เสริฟ์เครื่องดื่มค็อกเทล เปิดเพลงเสริมบรรยากาศ สนุกกับการเตรียมอาหาร ทุกคนจะปลาบปลื้มหากเห็นว่าคุณทุ่มสุดฝีมือแล้วค่ำ คืนนั้นก็จะครึกครื้น

24. ยิ้มไว้ ยิ้มเป็นโรคติดต่อ ไม่เชื่อลองยิ้มดูสิ

25. ทำให้คนอื่นมีความสุขบ้าง ทำเพื่อตัวเองมามากแล้วก็น่าจะทำเพื่อคนอื่นบ้าง อาสาช่วยงานกุศล บริจาค พากันไปท่องเที่ยวหาความสุข หรือช่วยทำอะไรก็ได้ที่ทำให้คนอื่นมีความสุข

ข้อมูลจาก : http://www.global-report.net
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/9428.html

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Today is gift



















































By: lebanon4ever